ตำนาน เจ้าชายตะวันตก:นายซีอุย อวดเก่ง

 

ปฐมวัยก่อนฉายอัจฉริยภาพ (นายซีอุย อวดเก่ง)

ความเดิมตอนที่แล้ว เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการทำความรู้จักกับเด็กน้อยหน้าใสในวันของวัยทวีธาและกับหนึ่งบทบาทของเขา บทบาทที่ทำให้ได้รู้ถึงอุปนิสัยใจคออันชัดเจนบางอย่างที่แทบจะไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นของคนที่ภายหลังจะได้ขึ้นชื่อมาเป็นเอกบุรุษที่จะหาใครเสมอเหมือน

ความขี้แย เป็นสิ่งที่เพื่อนทุกคนจากห้องสองสองสัมผัสและรู้จักได้ดีจากเด็กน้อยหน้าใส หรือที่เราเรียกในปฐมบทว่าไอ้ยุ่น

ครับ..แต่นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งแรกเริ่มในตัวตนที่แท้จริงของยอดชายนายคนนี้เท่านั้น

และเมื่อกาลเวลาในรอบขวบ 3 ปีทวีธาได้ผันผ่านเวียนหมุนไป อีกด้านหนึ่งของบทบาทในความสามารถอันอัจฉริยะเฉพาะ ที่ขนาบข้างตีคู่ขึ้นมากับอารมณ์อ่อนไหวขี้แย ก็ให้ปรากฎเด่นชัดลอยออกมาจากตัวตนยอดคนโลกระบือผู้นี้เข้าให้เหมือนกัน

แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องราวความเก่งกาจอันนั้น ขอทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้นของเด็กน้อย แก้มแดงหน้าใส ในเรื่องราวของที่มาแห่งการเรียกชื่อฉายาที่สองกันก่อน

เพราะชื่อไอ้ยุ่น หาใช่นามสุดท้ายที่คนสองสองจะเผยอรูปาก เปล่งเสียงเรียกชื่อนี้ออกมากัน หากแต่วาระของชื่อยุ่น จำต้องมีอันเปลี่ยนแปลงและหลีกทางไปเพียงเพราะ การก้าวเข้าสู่การเรียนรักษาดินแดนไทยในปีสองของเด็กน้อยขี้แย

การเรียนรักษาดินแดนไทยในปีสอง นักศึกษาทุกคนในรั้วทวีธาไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลไปเรียนถึงศูนย์ฝึกวิภาวดีกันอีกต่อไปแล้ว โดยสถานที่หรือศูนย์ฝึกที่เหล่านักศึกษาวิชาทหารใช้เรียกสำหรับการเป็นสถานที่เรียนที่สอนกันนั้น แก็งค์นักศึกษาวิชาทหารถั่วงอกและรักษาดินแดนไทยทวีธาปีสองทั้งหมด ใช้เวลาเพียงแค่ข้ามคลองมอญหลังโรงเรียนก็เป็นอันถึงสถานที่เรียนที่ฝึกอันนั้นแล้ว

ซึ่งมันเป็นที่เดียวกันกับที่รด.รุ่นพี่ปีสามหลายคนบอกเอาไว้ว่า ที่นี่ โหดและเข้มมากในเรื่องของระเบียบวินัย

ครับ…เราคนสองสองที่เรียนรักษาดินแดนไทย เมื่อได้รับความรู้และคำแนะนำจากรุ่นพี่ประสบการณ์ตรงดังที่ว่านั้น ก็ไม่มีอะไรให้ทำมากนอกเสียจากการเตรียมความพร้อมเพื่อเผื่อไว้เผชิญหน้ากับความเคี่ยว ความโหดอันนั้นกัน

แต่ไม่ใช่กับวันแรกของการเรียนการฝึกครับ

เพราะกระแสที่ได้ยินมาจนทำให้แน่ใจแล้วว่า เขาเอาแน่และโหดจริง ทำให้คนแก็งค์ถั่วงอกที่เรียนรักษาดินแดนตัดสินใจเลือกที่จะไปดูหนังคนเหล็กสองศูนย์สองเก้า ภาคสอง กันที่โรงหนังพาต้า มากกว่าการมาฝึกรด.และต้องพบเจอกับการตรวจสอบระเบียบการแต่งกายอันเข้มงวดในวันแรกของการเรียนการสอน ณ ศูนย์ฝึกแห่งนี้

ซึ่งสิ่งที่พวกเราส่วนมากตกลงและเห็นสมควรร่วมกันในอันที่จะต้องหลีกเลี่ยงก็คือ การต้องไปพบเจอกับการตรวจระเบียบทรงผม ครับ

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าทุกวันที่ 5 ของทุกเดือน คือวันที่ทรงผมบนกบาลเด็กวัยรุ่นอย่างแก็งค์ถั่วงอกจะต้องสั้นจุ๊ดจู๋จนถึงสั้นจุ๊ดจู๋ที่สุด จากกฎระเบียบทรงผมของทวีธาภิเศก แต่นั่นมันเทียบไม่ได้เลยกับการต้องทำตามระเบียบทรงผมของการเป็นนักศึกษาวิชาทหารของศูนย์ฝึกแห่งนี้

ข้างหน้าไม่เกิน 3 เซนติเมตร และโดยรอบของขอบกบาลต้องขาวสามด้านเท่านั้นครับ

หากนึกไม่ออก ให้ลองนึกถึงพระสึกใหม่ ในข้อแม้ที่ไม่มีคิ้วและผมด้านหน้ายาวกว่าด้านอื่นๆเล็กน้อย

เมื่อสามารถนึกภาพอัปลักษณ์อย่างนั้นได้ ว่าแล้ว เราแก็งค์ถั่วงอกทั้งจากกองร้อย106 และ107 จึงลงมติไปดูหนังอาร์โนลด์แทนการไปปรากฎตัวในวันแรกของการเรียนรด. ที่ศูนย์ฝึกโหดแห่งนั้นกันทั้งหมด

ครับ…ทุกคนเผ่นหนีกัน แต่ไม่ใช่กับ ถั่วงอกรักษาดินแดนไทย 3 คนนี้

ปิ๋ว โป่ง ยุ่น

ซึ่งก็ไม่รู้อะไรดลใจให้มันสามคนปฏิเสธการโดดร่มไปร่วมรับชมภาพยนตร์กับพวกเรา และไอ้การไม่ไปด้วยกันก็ยังไม่เท่าไร พอทนเข้าใจไหว ว่าอาจไม่ชื่นชอบการดูหนัง แต่ไอ้การเกิดจิตสำนึกรักการฝึกวิชาทหารเข้าจับหัวใจของคนทั้งสามในวันนั้นที่ขอเสี่ยงทำบุ่มบ่ามใจกล้าเข้าไปขอลองดีกับกฎเข้มของศูนย์ฝึกดูนั้น มันออกจะกล้าบ้าบิ่นเกินพอจะรับไหวจริงๆ นั่นจึงเป็นเหตุทำให้ในเช้าวันต่อมา นอกจากหัวข้อสนทนาในเรื่องความมันส์จากหนังคนเหล็ก ภาคสองแล้ว แก็งค์ถั่วงอกยังต้องเติมเสียงหัวเราะเข้าไปด้วยดังๆ หลังเห็นการปรากฎตัวทีละคนของ รักษาดินแดนไทยใจกล้า ปิ๋ว โป่ง ยุ่น ในเช้าวันนั้นกัน

ครับ หน้าตาของคนทั้งสามยังคงเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงให้เราแก็งค์ถั่วงอกสะกิดต่อมอารมณ์ขันขึ้นมาได้ แต่เพียงแค่ลองมองย้อนขึ้นไปทางด้านบนตรงตำแหน่งเส้นผมบนกบาลของเขาทั้งสามแล้วนั้น ก็รับรู้ได้เลยครับว่ากฎเข้มของศูนย์ฝึกนั้น มันเป็นจริง และมันก็อดไม่ได้เลยครับที่จะต้องอ้าปากหวอให้กับการเปลี่ยนสไตล์ทรงผมที่เคยสั้นอยู่แล้วมาเป็นแบบสไตล์เตียนเรียบโล้น ซึ่งนั่นแหละครับที่พอแล้วที่จะทำให้ความเด๋อด๋าเกิดขึ้นกับกบาลของคนทั้งสามจนคือที่มาของเสียงหัวเราะฮาครืนกันทั้งห้อง

เพื่อนผมสามคน ดูไม่ได้เลยสักคนกับสกินเฮดแบบพลทหาร

แน่นอนครับที่งานนั้นต้องมีการอำเปรียบเทียบกับความตลกในครั้งนั้นกัน และเพื่อป้องกันการลืมเลือน การริเริ่มในการคิดค้นชื่อฉายาจึงต้องมีบังเกิดขึ้น ซึ่งบังเอิญประกอบกับว่าคนทั้งสาม ดันมีเชื้อสายชาวจีนเข้ามาเกี่ยวข้อง บวกเข้ากับความแรงของละครสยองขวัญช่อง 5 เรื่องหนึ่งในช่วงเวลานั้น จึงได้ข้อสรุปตรงกันของทุกฝ่ายว่า งานนี้ ต้องชื่อนี้เลย…….

…..ซีอุย มนุษย์กินตับ

เหมือนมากๆครับ นายซีอุย แซ่อึ้ง ตัวเอกหน้าตาโรคจิตของละครเรื่องนั้นที่เป็นชาวจีนและไว้ทรงผมสั้นประมาณนั้น กับ เพื่อนสกินเฮดทั้งสามคน

ครับ….แต่ฉายานี้ มันควรมีหนึ่งเดียวที่ได้มันไป

ภายหลังการลงความเห็นร่วมกัน ทุกคนป้องปากชี้นิ้วไปที่ไอ้ปิ๋ว ว่าเหมือนสุดแล้วกับมนุษย์กินตับไต เอ้า..แต่ใครเล่าจะกล้าครับ ที่จะเอ่ยปากขึ้นมาว่า ปิ๋วเหมาะมาก ปิ๋วแหละสมควร ไม่มีแน่นอนที่ใครจะกล้าเอื้อนเอ่ยอำล้อออกมาเป็นคนแรกกับคนจริงอย่างปิ๋ว ดังนั้นปิ๋วจึงรอดการได้เป็นซีอุยไป

มาถึงไอ้โป่ง อันนี้ทุกคนต่างเชื่อว่า ถ้าเลือกชื่อซีอุยให้ไอ้โป่งไปนั้น มันคงไม่มีความมันส์ใดๆให้ก่อเกิด เพราะไอ้โป่งมันคนขี้อาย อำมันไป มันก็แค่ยืนหน้าแดง ยิ้มหลบๆอายๆ ซึ่งก็คงได้แค่นั้น จะไปหาความสนุกอะไรต่อเติม

ดังนั้นแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นใดเลยที่จะไม่หยิบยื่นชื่อ มนุษย์กินตับให้กับเด็กน้อยขี้แยคนนั้น และถ้ายิ่งมองไปถึงอนาคตของความตลกฉิบหายกับฉายานี้ที่มีต่อขี้แยยุ่นด้วยแล้ว

ไอ้ยุ่น มึงนั่นแหละ ไอ้ซีอุย

จากวันนั้นมา ไอ้ยุ่น ก็กลายเป็น ไอ้ซีอุย ให้เพื่อนๆได้ล้อกันจวบจนเส้นผมบนกบาลของมันจะยังทุเรศอย่างนั้นอยู่ซึ่งพอนานวันเข้า ความเคยชินก็เกิดเลยเถิด เพราะถึงแม้ว่าเส้นผมของไอ้ยุ่นจะยาวกลบเกลื่อนทรงอัปลักษณ์เดิมหรือจะละครนายซีอุยมนุษย์กินตับจะอวสานลงไปแล้ว เพื่อนๆสองสองทุกคนก็ยังคงติดใจและติดปากกันอยู่กับชื่อเรียกซีอุย จนนานวันเข้าเสียงที่เรียกได้กร่อนลงเหลือเพียงแค่ อุย คำเดียว ทำให้ชื่อโก๋อุยจึงได้เกิดขึ้นประดับวงการก๊วนฮาของห้องถั่วงอกกัน ซึ่งก็ไม่ได้มีคำปฏิเสธใดๆเลยกับการเปลี่ยนแปลงชื่อเรียกในครั้งนั้นจากเด็กชายเชาว์วุฒิแก้มแดงเฉกเช่นเดียวกับสมัยที่มันได้ชื่อ ไอ้ยุ่น เป็นครั้งแรก

เขาเป็นคนง่ายๆครับ เพื่อนล้อชื่อยังไง เด็กขี้แยไม่เคยคิดขัด

นั่นคือที่มาของชื่อฉายาที่สองของพ่อยอดชายคนนี้ และไอ้การเปลี่ยนไปของชื่อเรียกนี้ มันก็เป็นเหมือนดั่งวาระของการเปลี่ยนแปลงที่ส่อให้เห็นถึงคาแรกเตอร์เด่นสุดที่ใครๆทุกคนบนห้องถั่วงอกต้องยกมือยอมแพ้ให้กับความเก่งกาจของเด็กน้อยขี้แย หรือมนุษย์กินตับผู้นี้อีกด้วย

ใครเคยดูหนังเรื่อง แมกไกเวอร์ มั่งครับ

แมกไกเวอร์ เป็นมนุษย์ในโลกภาพยนตร์ที่มีความเฉลียวฉลาดและรอบรู้เกินมนุษย์ไปซะทุกเรื่อง จนทำให้เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันจวนตัว ความรู้และสติปัญญาของเขามักสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาเอาตัวรอดได้ดีอยู่เสมอ หรือพูดง่ายๆว่า พระเอกยอดคน ว่างั้นเถอะ

แต่แมกไกเวอร์ยังมิอาจเทียบเคียงกับมนุษย์กินตับเพื่อนผมคนนี้ได้ เพราะถ้าจะบอกขยายให้เห็นถึงภาพของความอัจฉริยะได้ชัดเจนละก็ ต้องบวกเอามันสมองของคนผู้นี้เข้าไปอีกแรงครับ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์

นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีรอยหยักในสมองมากกว่าใครบนโลกใบนี้ จนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดที่สุดในโลก ที่สามารถประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมและทฤษฎีต่างๆอันเป็นประโยชน์ในภายหลังต่อมวลมนุษยชาติทั้งหลาย

อันนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ของวงการวิทยาศาสตร์โลกมนุษย์

แต่ ถ้าจะให้นำมาเปรียบเทียบกับเพื่อนผมแล้ว มันก็ให้คำจำกัดความที่ยังไม่ชัดเจนนัก

มันต้อง สองความฉลาดสุดๆของสองคนรวมกัน จึงจะพึ่งเทียบเคียงได้กับ หนึ่งอวดเก่งของโก๋อุย

ท่านเคยมีเพื่อนที่รอบรู้ไปหมดทุกอย่างหรือเปล่าครับ สารพันปัญหา หรือเรื่องราวครอบจักรวาลใดๆ ที่ต้องการคำตอบ ขอเพียงแค่ตั้งประเด็นปัญหาขึ้นมาในวงสนทนาถั่วงอกเท่านั้นแหละ หากมีโก๋อุยอยู่ เสียงร้องอ๋อจะตามมาทันที

อ๋อ! ไอ้เนี่ยะนะเหรอ มันอย่างงี้…………

ผมยังไม่เคยเห็นโก๋อุยส่ายหน้าแล้วยอมรับว่าเรื่องราวที่เรากำลังคุยกันอยู่นั้น มันจะไม่รู้ ดังนั้นแล้วเสียงร้อง อ๋อจากปากโก๋อุย จะเป็นเสียงที่ทุกคนในกลุ่มจะได้ยินชัดเจนมากกว่าเสียง เอ… กูไม่แน่ใจวะ ในทุกครั้งที่มีประเด็นปัญหาให้ถกกันของพวกเรา

คำว่าสากกระเบือยันเรือรบ อาจน้อยไป เอนไซโคบีเดียฉบับอัพเดตล่าสุดก็ยังไม่มากพอสำหรับความรู้มากของโก๋อุย เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในระดับชาวบ้านยันถึงวิชาการเข้มข้นหรือเลยเถิดไปยังความเร้นลับนอกโลก โก๋อุยมีคำตอบเสมอ ดังนั้นแล้วจากประสบการณ์ที่ผมได้รู้จักเพื่อนคนนี้มา ผมกล้าท้าเลยว่า ไม่มีอะไรภายใต้ระบบสุริยะจักรวาลอันนี้ที่เพื่อนผมโก๋อุยคนนี้จะไม่รู้

เพราะถึงขนาดว่า มันเห็นมดเดินมาตัวเดียว มันยังชี้ให้พวกเราดูและบอกได้ว่า

ตัวนี้ตัวเมีย และ ก็เป็นเมนส์อยู่ด้วย

น้าน… เอากับมันสิครับ แค่มองแว๊บเดียว ก็ระบุเพศ แทบรู้อีกว่ามดมีรอบเดือนได้

มันจึงเป็นที่มาของ สโลแกนหนึ่งประจำตัวโก๋อุยว่า โก๋อุย รู้ไปหมด แม้แต่มดมีเมนส์

ครับ…แต่ไม่ใช่ว่ามันเก่งหรอกนะครับ……มันอวดเก่งต่างหาก

การประชันคารมเพื่อถกปัญหาใดๆ หรือมีข้อโต้แย้งต่างๆที่อาจไม่ตรงกัน หากว่ามันเกิดขึ้นกับวงสนทนาถั่วงอกแล้วเกิดว่าฝ่ายตรงข้ามปรากฎซึ่งใบหน้าของโก๋อุยนั้น จงอย่าได้หวังเลยว่า เรื่องที่ถั่วงอกคนหนึ่งกำลังพูดยืนยันความคิดในฝั่งตรงข้ามของโก๋อุยอยู่นั้น… มันจะถูกต้องได้

เพราะโก๋อุยจะยกแม่น้ำที่อยู่บนโลกใบนี้พร้อมเรฟเฟอร์เรนด์อวดเก่งของมันขึ้นมาโต้เถียงอย่างดุเดือด จนถั่วงอกท่านนั้นต้องเป็นฝ่ายล่าถอยไปเอง

และยิ่งถ้าเมื่อเส้นเอ็นบนคอของโก๋อุยเริ่มปูดโปนให้เห็นละก็ การโต้วาทีครั้งไหนๆ ณ สถานที่ใด ก็อย่างได้หวังว่าจะเอาชนะเพื่อนขี้แยหน้ามนุษย์กินตับผู้นี้ได้เลย เพราะถึงขนาดว่ามันสามารถพูดสีดำให้ทุกคนเชื่อว่าเป็นสีขาวได้ละกัน

และที่ต้องยอมให้โก๋อุยได้รับชัยชนะไปในทุกครั้ง ไม่ใช่ยอมจำนนต่อความอวดเก่งของมันหรอกครับ แต่หากต้องยอมต่อความรำคาญและเส้นเอ็นปูดโปนใกล้จะขาดที่คอของมันแล้วมากกว่า เพราะฉะนั้น บางครั้งแก็งค์ถั่วงอกจึงต้องจำใจยอมตาบอดสีและพยักหน้ายอมรับว่านั่นคือสีขาว หาใช่สีดำอย่างที่คนทั้งโลกเข้าใจตรงกัน

ดังนั้นแล้วการตัดบทยอมแพ้และสุภาษิตคำว่า เถียงคอเป็นเอ็น จึงเป็นอะไรที่เราถั่วงอกรู้จักกันดียามต้องโต้วาทีกับโก๋อุย

ครับ ซึ่งไอ้เรื่องของการเถียงคอเป็นเอ็น ไม่ยอมจำนนจนแต้มเพื่อรับกับความเป็นจริง นี่ละก็ มีเรื่องราวให้ได้ขำขันสำหรับเพื่อนคนนี้เหมือนกันครับ

วันหนึ่งของการข้ามฟากไปเตะฟุตบอลกันเป็นกลุ่มของเราชาวแก็งค์ถั่วงอกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สุดแล้วก็จบลงตรงการแวะกินแฮมเบอร์เกอร์ ที่ร้านสยามสเต๊ก ตรงใต้ตึกคณะวารสารศาสตร์กัน ซึ่งการกินมื้อเย็นด้วยฟาสต์ฟู้ดยี่ห้อคนไทยอันนี้นั้นเป็นอะไรที่แก็งค์ถั่วงอกมักพึงนิยมกระทำกันอยู่เป็นประจำหลังเลิกวิ่งเล่นเตะบอลอยู่แล้ว

และเย็นวันนั้นก็เหมือนกับทุกครั้งที่มาเล่นฟุตบอลที่นี่ ในขณะที่ทุกคนกำลังเอนจอยกับการรับประทานเบอร์เกอร์อยู่ จู่ๆความลุกลี้ลุกลนบางอย่างก็เกิดขึ้นกับเพื่อนอวดเก่ง และยิ่งเมื่อเวลาแห่งการกินและการพูดคุยกันของแก็งค์ถั่วงอกยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดสักที ก็เป็นโก๋อุยที่เริ่มออกอาการหงุดหงิดกับการเสียเวลากลับบ้านพร้อมกันในขณะนั้น

เวลาที่ผ่านไปกับความร้อนตัวบางอย่างที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นของโก๋อุย ทำให้มันเริ่มคะยั้นคะยอ แกมขอร้องให้ทุกคนช่วยเดินไปกินไปก็ได้ เพื่อที่ว่าทุกคนจะได้กลับบ้านไปพร้อมๆกันอย่างที่มันต้องการ

การกวาดต้อนและไล่เพื่อนให้ลุกขึ้นเดินทีละคนนั้น ยังมาถึงคำถามของโก๋เมศร์ ที่ก็สงสัยมานานแล้วตั้งแต่จับสังเกตพฤติกรรมอันร้อนรนชอบกลของเพื่อนอวดเก่งได้

เป็นเหี้ยอะไร แดกก็ไม่แดก ยังเสือกไล่ให้กูรีบกลับบ้านอีก

เออ เอาน่า ไปเหอะ คือเสียงตอบของโก๋อุย กับความโล่งใจได้เปราะหนึ่งที่สามารถต้อนคนอย่างโก๋เมศร์ให้ออกจากที่นั่งม้าหินริมสนามเปตองอันเป็นที่นั่งกินไทยฟาสต์ฟู้ดประจำของเราได้เป็นคนสุดท้าย

ในขณะที่ทุกคนส่วนใหญ่เดินกันระเกะระกะ เอ้อระเหยกันไป ตรงประตูทางออกท่าพระจันทร์ ก็เป็นโก๋อุยที่จ้ำอ้าว ตรงดิ่ง ด้วยความเร็วสั้นสลับยาวแซงหน้าเพื่อนๆทุกคน เพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าเรือข้ามฟากเพื่อที่จะกลับไปยังฝั่งท่าน้ำศิริราช

และด้วยความเร็วสั้นสลับยาวแซงใครต่อใครไปนั้น ทำให้มันเป็นคนแรกที่ได้จ่ายเงิน 1 บาท เพื่อเป็นค่าข้ามฟากสำหรับเรือเที่ยวนั้น แต่แม้ว่ามันจะไปถึงก่อนใครเพื่อนยังโป๊ะลงเรือ หากแต่ว่าเรือไม่มี มันก็ทำได้แค่ยังคงต้องยืนเป็นเพื่อนกับเวลาอยู่ริมตลิ่งโคลงเคลงตรงนั้นและรอให้เพื่อนเอ้อระเหยเดินมาถึง

จนกระทั่ง พวกเราตามมาสบทบ บนคำถามในหัวของทุกคน แม่งเป็นเหี้ยอะไร ลุกลี้ลุกลนฉิบหาย มึงจะรีบไปไหน หา?”

ครับ และเมื่อโก๋เมศร์หล่นคำถามแห่งความสงสัยของทุกคนออกไปยังโก๋อุยที่ขณะนั้นอาการร้อนรนของมันได้ปรากฎออกมาจนเห็นได้ชัดว่ากำลังถึงขีดสุดอะไรบางอย่าง เสียงของคนอารมณ์เสีย ไม่ได้ดั่งใจ ที่เรือข้ามฟากที่กำลังจะมารับยังคงเห็นอยู่ไกลลิบ ก็ดังสวนมาเหมือนเมื่อครั้งเด็กขี้แยกำลังเจ็บปวดกับเรื่องราวบางอย่างเปี๊ยบ

ม่ายต้องมายุ่งกับกู

หากแต่ครั้งนั้น มิได้มีเสียงฮือ ฮือ ตามมาให้ได้ยินกัน

ก็ได้ เอ้า…โอเค…อารมณ์นี้ต้องปล่อยมนุษย์ขี้แยอวดเก่งให้อยู่ในโลกส่วนตัวของมันไป ในขณะที่เราส่วนใหญ่ล้มเลิกความสนใจในตัวของโก๋อุย จนเมื่อเรือมาถึง การก้าวข้ามเป็นคนแรกจึงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากโก๋อุย นั่นก็รวมไปถึงการจองที่ที่จะเป็นคนแรกที่จะได้ก้าวข้ามออกเมื่อเรือถึงฝั่งด้วยเช่นกัน

และตอนนั้นเองที่ผมแอบเห็นโก๋อุย หงุดหงิด และหัวเสียอย่างสุดๆ เมื่อเรือยังคงจอดแช่เพื่อรอรับผู้โดยสารให้เต็มลำกว่านี้

อะไรของมันว๊า ผมนึกในใจ

จนกระทั่งถึงนาทีที่เรือออกจากมาได้ค่อนเจ้าพระยา คิ้วขมวดและสมองสงสัยของผมต้องหาคำตอบให้ได้แล้วละว่า โก๋อุยมันกำลังรีบไปไหน จะว่าธุระก็ไม่ใช่ แล้วอยู่ๆอะไรทำให้มันต้องหงุดหงิดใส่เพื่อนขนาดนั้น

ว่าแล้ว ผมก็ไม่รอช้า รีบเดินไปยังเพื่อนอุยเพื่อสนองความอยากรู้ของตน ในจังหวะที่เรือกำลังใกล้เทียบเข้าฝั่ง เวลานั้นขาป้อมๆ ใหญ่ๆของโก๋อุยยื่นออกไปรอแผ่นดินท่าน้ำศิริราชแล้วเรียบร้อย ในขณะที่มันกำลังจะก้าวข้ามออกจากตัวเรือไป มือของผมก็แตะเอาที่ไหล่ของมันพอดี พร้อมกับคำถามเดิม ที่เราเพียรถามกันมาตั้งแต่ร้านสยามสเต็กแล้ว

มึงจะรีบไปไหนวะ

ครับ….โก๋อุยไม่ทันได้ตอบ เพราะมันรีบจนไหล่ของมันได้สะบัดมือของผมออกไปพร้อมกับการเคลื่อนตัวแบบคนเร่งด่วนสุดชีวิตจนผลุบหายไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งผมก็ได้แต่เห็นแผ่นหลังของมันหายแว๊บไปกับสายลมและฝูงชน ซึ่งถ้าจะให้ทุกคนเดา บ้านพักอาศัยร่วมกับอี๊ของมันที่พรานนกที่อยู่ต่อไปนิดเดียวจากโรงพยาบาลศิริราช นั่นน่าจะคือจุดหมายเร่งรีบของมันกับภารกิจด่วนสุดอะไรบางอย่าง

ครับ…คนถั่วงอกทุกคนบนเรือเมื่อเห็นโก๋อุยไม่ได้ส่งคำตอบใดๆให้กับผม ก็ได้แต่คิดว่าพรุ่งนี้ค่อยถามเอาความจากมันดีกว่า ว่ามันเป็นอะไร ทำไมถึงได้หุนหันพลันแล่นขนาดนั้น

แต่รู้มั๊ยครับว่า นาทีที่สายสมวูบสุดท้ายระหว่างผมและโก๋อุยได้พัดผ่านไป ผมคิดว่า ผมได้คำตอบสำหรับเหตุการณนี้แล้วครับ

และเป็นคำตอบที่สุดจะแน่ใจที่สายลมฝากมาให้กับผม

เหี้ยเอ๊ย….นี่มันกลิ่นขี้นี่หว่า

ครับ…ที่โก๋อุยคะยั้นคะยอไล่พวกเรากลับบ้านกันตั้งแต่ที่หน้าร้านสยามสเต๊ก เพราะสาเหตุที่ว่า ถ้ามันหายตัวมีพิรุธเข้าไปทำธุระหนักต่อหน้าต่อตาพวกเราถั่วงอก อาจเกิดเหตุการณ์สงครามแห่งการปลดปล่อย โดยเพื่อนๆทั้งหมดอาจรวมหัวตามเข้าไปแกล้งมันถึงห้องน้ำมหาลัยธรรมศาสตร์ก็เป็นได้ และอีกประการ การกลับไปปลดทุกข์ยังบ้านตัวเองที่อยู่ใกล้เพียงข้ามฟากเจ้าพระยาน่าจะเป็นอะไรที่มันโหยหาและสบายสุดๆสำหรับมัน

แต่โชคร้ายเหลือเกินที่ครั้งนั้น โก๋อุยไปไม่ถึงฝัน

แม้ในเช้าอีกวัน มันจะเถียงคอเป็นเอ็นว่า กูไม่ได้ขี้แตก แต่ผมคนหนึ่งละที่ไม่เชื่อ

เพราะสายลมวูบนั้น บอกผมได้อย่างเดียวว่า กลิ่นขี้ชัวร์ๆ

ครับ..แต่ถ้าโก๋อุยบอกว่า ไม่ใช่ ยังไม่แตกซะอย่าง ก็ต้องยอมให้กับมันไปครับ เพราะไม่เคยมีใครสามารถเถียงแล้วเส้นเอ็นที่คอปูดโปนได้เท่ากับมันอีก

ดังนั้นแล้ว อุยไม่ได้ขี้แตกครับ

จนกระทั่ง สิบปีต่อมา ณ วงเหล้าบ้านผม บนบรรยากาศกึ่มๆกันแล้ว

เออ ครั้งนั้นนะ เรื่องจริง กูไปไม่ถึง

ครับ…10 ปีต่อมา มันเพิ่งจะยอมรับว่า มันขี้แตกตอนก้าวขาข้ามฟากเรือ

 

พริ้วไหวดั่งสายน้ำ

20 กุมภาพันธ์ 2550

…………………………..

เรื่องราวของ ตำนานเจ้าชายตะวันตก มิอาจจบได้เพียงเท่านี้แน่ และเพื่อให้สมกับความยิ่งใหญ่ของยอดคนโลกไม่เคยลืมผู้นี้ ผมกำลังจะบอกกับท่านผู้อ่านว่า สองตอนของพริ้วไหวเป็นเพียงแค่ฉากเริ่มต้นของปฐมวัยแห่งตำนานนี้เท่านั้น จากนี้ไปท่านจะได้รับรู้ว่า ขี้แยยุ่นหรือมนุษย์อวดเก่งของเรา จะมีพัฒนาการไปอีกสองขั้น สองขั้นที่ใครเลยจะรู้เล่าว่า จากความขี้แยไปสู่ความอวดเก่ง จะยังมีเรื่องราวต่อเนื่องของการไปเป็น นักประดิษฐ์, นักเลง, ศิลปิน, นักดนตรี, หลวงพี่เกจิอาจารย์, ผู้หยั่งรู้ดินฟ้าฯลฯ ซึ่งแน่นอนแหละครับว่า ต้องมีความฮาแบบไม่น่าเชื่อว่า จะมีคนแบบนี้กับเรื่องราวแบบนี้อยู่จริง

และเพื่อเป็นสิ่งยืนยันถึงความเป็นตำนานเฉพาะตัวหนึ่งเดียวคนนี้ อีกสองตอนที่เหลือ เพื่อนสุดเลิฟอีกคนของโก๋อุย จะเป็นผู้ทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจได้ว่า ทำไม โก๋อุยจึงได้เป็นยอดคนแห่งปฐพี เมื่อยามที่เขาก้าวขาออกจากรั้วทวีธาไปแล้ว

สองตอนหน้ากับ การประกาศอิสรภาพทางความอัจฉริยะ โดยวิลเลี่ยม ณ บางกระดี่ครับ

 

Leave a comment